วันพุธที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2556
วันพฤหัสบดีที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2556
วันเสาร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2556
Sky map แผนที่ดวงดาวบนมือถือ
Sky map เป็นโปรแกรมดูตำแหน่งของดวงดาวบนท้องฟ้า เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบดาราศาสตร์หรือคนทั่วไปครับ ใช้งานง่าย สะดวก และรวดเร็ว แถมยังทำงานแบบออฟไลน์ด้วยครับ
เคยไหมครับเวลาไปเที่ยวต่างจังหวัดตอนกลางคืนแล้วอยากดูดาว แต่ก็ไม่รู้ว่าดวงไหนเป็นดวงไหน ครั้นจะมานั่งเปิดดูในหนังสือแผนที่ก็ลำบากเพราะไม่รู้ว่ามันตรงกันกับ ตำแหน่งที่เราอยู่สักเท่าไหร่ จนในที่สุดก็ล้มเลิกความตั้งใจ โปรแกรมดังกล่าวมีหลักการทำงานโดยการใช้ข้อมูลตำแหน่งจาก GPS ร่วมกันกับ Accelerometer และเข็มทิศในตัวเครื่อง เราสามารถชี้เครื่องไปยังบริเวณใดๆ บนท้องฟ้า เครื่องจะคำนวณและค้นหาแผนที่ของดาวตามเวลาและตำแหน่งปัจจุบันจากบริการ Sky Map ของกูเกิลให้โดยอัตโนมัติ พร้อมทั้งยังมีข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับดาวดวงนั้นด้วย นอกจากนี้หากอยากจะหาดาวดวงใดๆ เราก็ยังสามารถพิมพ์ชื่อเพื่อค้นหา และใช้โทรศัพท์ช่วยชี้ได้อีกด้วย
วิธีใช้ง่ายๆ เพียงแค่ยกโทรศัพท์ หรือ อุปกรณ์ที่มี application นี้ขึ้น บนท้องฟ้า แอบก็จะจำลองพิกัดตำแหน่งที่เรายืนอยู่ แล้วแสดงดวงดาวขึ้นมาครับ ขอบอกว่าข้อมูลแม่นยำมากๆ ผมใช้แล้วยังรู้สึกติดใจเลยครับ
Downloda Apps นี้ คลิ๊กข้างล่าง
Screenshots
MagicPlan CSI
Photosynth ถ่ายภาพพาโนรามา 360 องศา
Photosynth เป็นแอพฟรีจาก Microsoft โดยจุดเด่นของมันก็สามารถถ่ายภาพพาโนรามาได้ง่าย เพียงแค่กด ถ่าย แล้วก็เลื่อนไปถ่ายภาพต่อไป ก็จะได้ภาพพาโนรามาแล้ว
แต่ที่เด็ดยิ่งกว่านั้นคือมันสามารถเรียกดูภาพในแบบหมุนรอบตัวเราได้ เสมือนว่าเราเข้าไปอยู่ในภาพนั้นเลยทีเดียว และที่สำคัญคือ มันไม่ได้ออกแบบมาให้เราสามารถดูในเครื่องคนเดียว เพราะมันสามารถแชร์ขึ้นไปบนเว็บเครือข่ายโซเชียลของ Photosynth เอง เพื่อให้สามารถเรียกดูภาพแบบ 360 องศาจากบนเว็บได้ และสามารถแชร์ภาพขึ้น Facebook แบบธรรมดาๆ ก็ยังทำได้เช่นเดียวกัน
Downloda Apps นี้ คลิ๊กข้างล่าง
SCREENSHOTS
รู้จักกับ Waze : Social GPS ไอเดียเจ๋ง!
เดี๋ยวนี้อะไรๆ ก็ต้องใส่ความเป็น Social เข้าไปกันหมด ไม่ว่าจะเป็น Social Media, Social Network, Social Commerce และสารพัด Social อื่นๆ แม้แต่ Application ที่ใช้รายงานสถานการณ์น้ำท่วมของคนไทยหลายๆ อันก็ยังใส่ความเป็น Social ให้ผู้ใช้งานได้มีส่วนร่วมในการแบ่งปันข้อมูลกันแบบ real time ได้ วันนี้ Socialmer จึงอยากจะแนะนำอีก 1 Social ที่มีความน่าสนใจมากๆ และกำลังเป็นที่นิยมในเมืองหลวงหลายๆ เมืองทั่วโลก นั่นก็คือสิ่งที่เรียกว่า Social GPS ที่ชื่อว่า Waze ครับ! ซึ่งปัจจุบันมีผู้ใช้งานอยู่แล้วทั่วโลกประมาณ 7 ล้านคน (ข้อมูลจาก Wikipedia)
ถ้าดูแต่ผิวเผิน Waze ก็เหมือนกับ Application GPS ตัวหนึ่งครับ มีแผนที่ มีระบบคำนวนเส้นทางต่างๆ แต่ความพิเศษของมันอยู่ตรงไหนบ้างนะ
1. ฟรี! ครับ ขณะที่ GPS App ส่วนใหญ่ ต้องเสียเงิน ไม่มากก็น้อย Waze เป็น Free App ซึ่งแน่นอนว่าเข้าทางคนชอบของฟรีอย่างเราๆ ท่านๆ
1. ฟรี! ครับ ขณะที่ GPS App ส่วนใหญ่ ต้องเสียเงิน ไม่มากก็น้อย Waze เป็น Free App ซึ่งแน่นอนว่าเข้าทางคนชอบของฟรีอย่างเราๆ ท่านๆ
2. ใช้ได้กับมือถือและอุปกรณ์พกพาหลักๆ เกือบทุก Platform ทั้ง iPhone, iPad, Android, Blackberry รวมถึง Nokia!
3. Waze มีความเป็น Social – ขณะที่ GPS ส่วนใหญ่จะเน้นการบอกทิศทางให้ไปถึงเป้าหมายเท่านั้น แต่ Waze คือเครื่องมือที่ผู้ใช้งานทุกคน สามารถมีส่วนในการรายงานสภาพถนนและการจราจรไปพร้อมๆ กันด้วย เราลองดูจากรูปอธิบายประกอบจากหน้าจอ iPhone มาดูกันครับ
ดูวีดีโอกันให้เห็นภาพมากขึ้นดีกว่า แต่ไม่แน่ใจว่าภาพประกอบในวีดีโอคือ Waze เวอร์ชั่นไหนนะครับ เพราะว่าหน้าตามันไม่ค่อยเหมือนเวอร์ชั่นใน iPhone ของผมเลยแฮะ
พอจะเห็นภาพรวมและประโยชน์ของ Waze กันหรือยังครับ? ผมเองก็เพิ่งจะได้รู้จัก Waze เมื่อไม่นานมานี้ ส่วนตัวเท่าที่ได้ใช้มาประมาณบน iPhone ประมาณอาทิตย์นึง ก็อยากจะถือโอกาสรีวิวให้ฟังสั้นๆ ถึงข้อดีข้อด้อยซะหน่อยตามประสบการณ์การใช้งานสั้นๆ เท่าที่ได้เห็นครับ
การใช้งานจริง
สิ่งที่หลายคนสงสัยแน่ๆ ก็คือความแม่นยำของแผนที่แน่ๆ ส่วนตัวเท่าที่ใช้มา แผนที่และจับตำแหน่งก็มีความถูกต้องพอสมควรครับ แต่อาจจะไม่ได้ละเอียดมากมาย ดูจากภาพประกอบจะเห็นว่ามีการระบุชื่อถนนและซอยหลักๆ อย่างถูกต้องครับ แต่รายละเอียดมากกว่าเช่นชื่อตึกหรือ สถานที่สำคัญต่างๆ นั้นยังนับว่าน้อยอยู่
แต่ทั้งนี้การระบุจุดพิกัดปลายทางนั้น ทาง Waze เองให้เราสามารถเชื่อมโยงกับ Service ของเจ้าอื่นๆ เพื่อเข้าไปเรียกเอาฐานข้อมูลที่อยู่จากในนั้นมาได้ เช่น Foursquare, Google, Bing แต่เท่าที่ลองใช้ดูพบว่าการเชื่อมต่อยังไม่ค่อยเสถียรครับ ขึ้นเตือนว่า Cannot connect to server ประจำเลย ก็คงแล้วแต่อารมณ์และสภาพอินเตอร์เน็ตด้วย
จากภาพประกอบข้างบนนี้ จะเห็นว่ามีคนรายงานอุบัติเหตุที่ถนนเพชรบุรีตัดใหม่เอาไว้ด้วย ซึ่งก็เป็นข้อมูลสำหรับผู้ใช้งาน Waze คนอื่นๆ ที่กำลังจะผ่านมาใกล้ๆ ครับ
ความสนุกอีกอย่างนึง ของการใช้งาน Waze ก็คือ การให้ความรู้สึกของการเล่นเกมส์อยู่ในนั้นด้วยครับ ซึ่งผมมองว่าเป็นกลยุทธ์ที่ดีมากๆ ในการทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกอยากจะเปิด Waze ขึ้นมาใช้อยู่เรื่อยๆ เช่นเมื่อคุณเริ่มต้นใช้งาน Waze คุณจะอยู่ในระดับ Baby Wazer มีไอคอนเป็นรูปเด็กทารก ซึ่งคุณเองต้องมีภารกิจในการขับรถ 100 miles แรกเพื่อที่จะ level up ขึ้นมาได้ โดยระหว่างทางที่คุณขับรถไป จะมีท็อฟฟี่โบนัสคะแนนพิเศษ ให้เก็บอยู่ตามถนน ตามสี่แยกอีกต่างหาก ทำให้การขับรถสนุกสนานมีชีวิตชีวาไปอีกแบบครับ
นอกจากนี้ยังมีลูกเล่นต่างๆ อย่างอื่นอีกเช่นการให้คุณส่งข้อความไปทักทายคนอื่น หรือถามไถ่ Wazer คนอื่นๆ ที่เป็นผู้รายงานสภาพจราจรได้ด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่แนะนำให้พิมพ์ข้อความขณะรถวิ่งอยู่นะครับ
สรุป
ข้อดี
- ฟรี!
- มีครบเกือบทุก Platform หลักๆ ทั้ง iOS, Android, Blackberry, Nokia (สำหรับ iOS จะเป็น Universal ด้วย แปลว่ามีทั้งเวอร์ชั่น iPhone และ iPad)
- มีความเป็น Social ผู้ใช้งานสามารถช่วยกันแบ่งปันข้อมูลและปฎิสัมพันธ์กันได้
- สามารถเชื่อมโยงกับ Social Network อื่นๆ เช่น Foursquare, Facebook, Twitter ทำให้การรายงานต่างๆ สามารถอัพเดทควบคู่กันไปได้
- สนุกสนาน มีแรงจูงใจให้เล่นด้วยการสะสมแต้ม อัพเลเวล มีการแจกเหรียญทอง โบนัสพิเศษ ให้กับผู้ใช้งานตามเงื่อนไขต่างๆ
ข้อด้อย
- แผนที่ยังไม่ค่อยละเอียด ไม่ค่อยเหมาะกับการนำทางแบบจริงๆ จังๆ ผมเองยังต้องเปิด GPS อีกตัวที่คุ้นเคยเพื่อเช็คเส้นทางไปคู่กันให้ชัวร์ครับ
- การหาพิกัดปลายทางยังไม่แม่นยำ ฐานข้อมูลยังจำกัด การเชื่อมโยงเพื่อเอาข้อมูลที่อยู่จากฐานข้อมูลอื่นๆ เช่น Foursquare ยังไม่เสถียรนัก
- การคำนวนเส้นทาง พบว่ายังมีการพาอ้อมอยู่บ้าง
- แผนที่ยังเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ รวมถึงเสียงนำทางด้วย
- ต้องใช้การเชื่อมต่อ internet 3g ตลอดเวลาเพื่อทำการโหลดแผนที่และอัพเดทข้อมูลแบบ real time แถมยังต้องเปิด gps เพื่อระบุพิกัดอีก ทำให้เวลาเปิด app ตัวนี้ แล้วจะสูบแบตมากๆ ครับ แนะนำว่าควรจะมีที่ชาร์จมือถือในรถไว้ด้วย
คนที่สนใจอยากลองใช้งาน Waze สามารถดาวน์โหลดได้ฟรีครับ
สำหรับ iPhone ดาวน์โหลดได้ตามลิงค์นี้เลย http://itunes.apple.com/us/app/waze-gps-traffic-social-fun!/id323229106?mt=8
ส่วน Android และ Blackberry ดูได้ใน Marketplace และ App World ครับ
เว็บไซต์หลักของ Waze
สำหรับประเทศไทยเอง ไม่แน่ใจว่ามีผู้ใช้งานอยู่จำนวนมากแค่ไหน แต่ว่ามีคนสร้าง Fan Page มาเพื่อรองรับ Community ของผู้ใช้งาน Waze แล้ว ซึ่งก็ยังมีสมาชิกไม่ค่อยมากนักครับ ลองไปเยี่ยมชมและกด Like ได้ที่นี่เช่นกัน กลุ่มคนไทยใช้ Waze – Thailand Wazer Group
สุดท้ายแล้วพลังของ Application ตัวนี้คือการที่มีผู้ใช้งานจำนวนหนึ่งที่มากพอในพื้นที่เดียวกัน ที่จะเข้ามาร่วมกันรายงานและตรวจกรองข้อมูลกันให้เกิดความแม่นยำครับ มิฉะนั้นแล้ว Waze ก็คงไม่ต่างอะไรนักกับโปรแกรม GPS ตัวหนึ่งแค่นั้นเอง เราลองมาดูกันดีกว่าครับว่า Waze จะเกิดหรือไม่เกิดในประเทศไทย โดยเฉพาะที่กรุงเทพ แต่ส่วนตัวผมแอบลุ้นอยู่ว่าอยากให้มีคนใช้เยอะๆ ครับ คงแบ่งเบางานของ จส.100 ไปได้เยอะทีเดียวเชียว!
วันศุกร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2556
ชาร์จแบตเตอรี่ iPhone ด้วยที่ชาร์จ iPad ได้หรือไม่
มีหลายคนสงสัยว่าที่ ชาร์จแบตเตอรี่ iPad สามารถนำมาใช้ชาร์จแบตเตอรี่ iPhone ได้หรือไม่ ตรงจุดนี้เป็นข้อถกเถียงกันมากมายทั่วทั้งโลกอินเตอร์เน็ตมานาน โดยเฉพาะตามเว็บบอร์ดต่างๆที่ผู้รู้ต่างๆแสดงความคิดเห็นต่างๆนานาโดยหยิบยกหลักวิชาการมาอ้างอิงมากมาย แทบจะเรียกว่า เปิดตำราวิชาไฟฟ้าในหนังสือวิทยาศาสตร์ ม.3 มาตอบเอาเท่กันหลายคน ผมจะนำเสนอแนวความคิดต่างๆให้ลองพิจารณากันดู และข้อสรุปที่คาดว่าดีที่สุดสำหรับคนที่ต้องการคำตอบ
เรามาดูข้อเท็จจริงกันก่อนว่า อุปกรณ์สำหรับชาร์จแบตเตอรี่ iPhone และ iPad แตกต่างกันอย่างไร
iPhone adapter สามารถจ่ายไฟที่ 5V ด้วยกระแส 1.0 Amp. (หรือที่เรียกว่า 5Watt มาจาก 5x1)
iPad adapter สามารถจ่ายไฟที่ 5V ด้วยกระแส 2.1 Amp. (หรือที่เรียกว่า 10Watt มาจาก 5x2.1)
จากข้อมูลเท่านี้บอกได้ว่า Adapter ทั้ง 2 ชนิดมีค่า แรงดันไฟฟ้าเท่ากันที่ 5V แต่ให้กระแสไฟต่างกันคือ 1 และ 2.1 ตามลำดับ
เกิดอะไรขึ้นเมื่อนำที่ชาร์จ iPad มาชาร์จ iPhone
จุดแรกคือที่ชาร์จ iPad มีแรงดัน 5V เท่ากับที่ชาร์จ iPhone ดังนั้นจึงไม่มีปัญหาเสียบไฟแล้วไฟไหม้หรือเครื่องระเบิด ต่อมาดูทึ่กระแสไฟฟ้ากัน กระแสไฟที่เกิดขึ้นจะมีปริมาณเท่ากับที่ iPhone ต้องการ นั่นคือ แม้ว่า iPad จะ Supply กระแสไฟได้ 2.1 Amp ก็ตามแต่ iPhone จะดูดกระแสไฟไปใช้เพียง 1 Amp เท่านั้น เพราะฉะนั้น ที่ชาร์จ iPad จึงสามารถนำไปชาร์จแบตเตอรี่ iPhone ได้อย่างไม่มีปัญหาอันใด และใช้เวลาชาร์จนานเท่าเดิม ไม่ได้เร็วขึ้นแต่อย่างใด
ในรูปเป็นการทดสอบการชาร์จ iPhone ด้วย iPhone adapter และ iPad adapter ตามลำดับ จะพบว่าทั้งคู่ใช้ระยะเวลาในการชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็มเหมือนกันคือ 1 ชม 23 นาที ณ สภาวะแบตเตอรี่ที่ 71%
สรุปผล เราสามารถชาร์จแบตเตอรี่ iPhone ด้วยที่ชาร์จ iPad ได้จริง และให้ผลเหมือนกับใช้ iPhone adapter เอง
ยังไม่จบเพียงเท่านี้ คิดว่าทุกคนก็ต้องสงสัยอีกว่าถ้าสลับกันล่ะ จะเกิดอะไรขึ้น
เกิดอะไรขึ้นเมื่อนำที่ชาร์จ iPhone มาชาร์จ iPad
จากความรู้เดิมในหัวข้อด้านบน พบว่า iPhone adapter มีแรงดันไฟ 5V เท่ากันกับ iPad ตรงจุดนี้จึงสบายใจไปได้เปราะหนึ่ง แต่กระแสไฟที่ iPad ต้องการมีมากถึง 2.1 Amp ซึ่ง iPhone adapter รองรับได้สูงสุดเพียง 1 Amp เท่านั้น
ลองดูจากกราฟด้านบนจะพบว่ากระแสไฟในการชาร์ตจะไม่ได้คงที่ตลอด โดยกระแสไฟจะสูงสุดเมื่ออุปกรณ์ iPhone หรือ iPad มีแบตเตอรี่เหลือ 0 ในช่วงนี้ iPad จะชาร์จไฟได้เร็วมากจนถึง 80% โดย iPad จะดูดกระแสไฟที่ 2 Amp ผ่าน adapter ดังนั้น adapter iPhone ที่รองรับกระแสไฟได้แค่ 1 amp จึงต้องทำงานหนักและเกิดความร้อนขึ้น เมื่อเกิดความร้อนขึ้นจะทำให้เกิด loss ขึ้น นั่นคือ Adapter จ่ายไฟได้ไม่ถึง 2 amp นั่นคือสาเหตุที่เราชาร์จ iPad ด้วย iPhone adapter แล้วแบตเตอรี่เต็มช้านั่นเอง
แต่หลังจากที่แบตเตอรี่มีจำนวน 80% โดยประมาณ กระแสไฟที่ iPad ดูดเข้าจะน้อยลงไม่ถึง 2 Amp ดังนั้นหากเราชาร์จ iPad ด้วย Adapter ของ iPhone ในช่วงนี้จะไม่มีปัญหาอะไรและใช้เวลาชาร์จเหมือนปกติ เพราะกระแสไฟที่ iPad ดูดอยู่ในเกณฑ์ที่รองรับได้
สรุปผล เราไม่ควรชาร์จแบตเตอรี่ iPad ด้วย iPhone adapter เพราะเสี่ยงต่อ Adapter เสียได้ง่าย
ยังไม่จบเพียงเท่านี้ หลายๆคนก็อาจจะสงสัยอีกว่า ในเมื่อที่ชาร์จ iPad ใช้ได้ทั้ง iPad และ iPhone ทำไม Apple ไม่ทำ iPad adapter แบบเดียวไปเลยล่ะ ถ้าไม่ใช่ Apple ก็คงมาตอบคำถามนี้ไม่ได้อย่างแน่นอน แต่เราก็พอจะคาดเดากันได้ว่า Adapter ทั้ง 2 แบบมีคุณสมบัติที่ต่างกัน รวมทั้งราคาในการผลิตที่ต่างกันด้วย ดังน้้นหากผลิต iPad adapter ใส่ไปใน iPhone ด้วยจะทำให้เสียค่าใช้จ่ายเกินความจำเป็นนั่นเอง
อ้างอิงเพิ่มเติม 1
ท้ายที่สุดสำหรับคนที่ยังไม่แน่ใจและตัดสินใจไม่ได้ ผมได้นำข้อมูลจาก Apple ว่า Adapter ใดสามารถใช้ได้บ้าง (อ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์ Apple)
รายชื่ออุปกรณ์ที่สามารถใช้ได้กับ iPhone adapter
รายชื่ออุปกรณ์ที่สามารถใช้ได้กับ iPad adapter
อ้างอิงเพิ่มเติม 2
แหล่งอ้างอิงที่ 2 มาจาก Apple อีกเช่นเคย http://support.apple.com/kb/HT4327 โดยเมื่อเข้าไปตามลิงค์นี้จะพบบทความว่าที่ชาร์จ iPad สามารถใช้กับ iPhone และ iPod ได้ด้วย
ขอขอบคุณคำปรึกษาจากวิศวกร ภาคไฟฟ้า
ใช้ปุ่ม CAP Lock บน iPhone
Tip วันนี้เป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยสำหรับมือใหม่ที่ยัง หาปุ่ม CAP Lock บนคีย์บอร์ด iPhone ไม่เจอ ทำให้การพิมพ์ตัวอักษรใหญ่ ต้องคอยกดปุ่ม Shift ตลอด สร้างความยากลำบากแสนสาหัส โดยปกติแล้ว หากเราใช้คอมพิวเตอร์ PC ในการเข้าเว็บไซต์หรือพิมพ์อะไรก็แล้วแต่ หากมีความจำเป็นที่ต้องต้องพิมพ์ภาษาอังกฤษเป็นตัวอักษรใหญ่ตลอด เราสามารถกดปุ่ม CAP Lock ที่อยู่เหนือปุ่ม Shift บนแป้นคีย์บอร์ดได้ แต่สำหรับใน iPhone จะมีปุ่ม Shift เป็นรูปลูกศรชี้ขึ้นเท่านั้น และไม่มีปุ่มใดที่เขียนว่า CAP Lock เลย
โดยปกติแล้ว iPhone จะแสดงอภินิหาร สุดแสนฉลาดเล็กน้อย คือ ปุ่ม Shift จะถูกกดให้อัตโนมัติเมื่อเริ่มต้นประโยค แต่พอตัวที่ 2 เป็นต้นไป ต้องคอยกดปุ่ม Shift ตลอด ซึ่งกว่าจะพิมพ์ว่า IPHONE.COM จบ ก็ต้องกด Shift ไปไม่ต่ำกว่า 13 รอบ แล้วทีนี้จะทำอย่างไรดีล่ะ ถ้าไม่อยากกด Shift หลายๆรอบอย่างนี้ วันนี้ ผมจึงมาเสนอวิธีการแก้ไขอย่างง่ายๆ สำหรับมือใหม่
วิธีการใช้ CAP Lock บนคีย์บอร์ด iPhone นั้นง่ายมาก สามารถดูตัวอย่างด้านล่างได้เลยครับ
โดยปกติแล้ว เมื่อกดปุ่ม Shift เราจะสังเกตเห็นปุ่ม Shift เรืองแสงสีขาวขึ้นมา เมื่อพิมพ์ตัวอักษร เราจะพบตัวอักษร (ภาษาอังกฤษ) เป็นตัวพิมพ์ใหญ่ และปุ่ม Shift จะกลับไปเป็นลักษณะเดิม
แต่หากเรา กดปุ่ม Shift 2 ครั้ง ติดกัน เราจะพบว่าปุ่ม Shift กลายเป็นสีฟ้าเรืองแสง นั่นคือ ตอนนี้ปุ่มนี้กลายเป็นปุ่ม CAP Lock ไปแล้ว หลังจากนี้ เราสามารถพิมพ์ตัวอักษรพิมพ์ใหญ่ได้ทันทีโดยไม่ต้องกด Shift อีกต่อไป
ทดสอบพิมพ์ชื่อเว็บ IPHONE.COM จะได้ตัวพิมพ์ใหญ่โดยไม่ต้องกด Shift และเมื่อต้องการให้กลับสู่สภาวะปกติ ก็แค่เพียงกด Shift อีกครั้งก็เป็นอันเรียบร้อย
โดยปกติแล้ว iPhone จะแสดงอภินิหาร สุดแสนฉลาดเล็กน้อย คือ ปุ่ม Shift จะถูกกดให้อัตโนมัติเมื่อเริ่มต้นประโยค แต่พอตัวที่ 2 เป็นต้นไป ต้องคอยกดปุ่ม Shift ตลอด ซึ่งกว่าจะพิมพ์ว่า IPHONE.COM จบ ก็ต้องกด Shift ไปไม่ต่ำกว่า 13 รอบ แล้วทีนี้จะทำอย่างไรดีล่ะ ถ้าไม่อยากกด Shift หลายๆรอบอย่างนี้ วันนี้ ผมจึงมาเสนอวิธีการแก้ไขอย่างง่ายๆ สำหรับมือใหม่
วิธีการใช้ CAP Lock บนคีย์บอร์ด iPhone นั้นง่ายมาก สามารถดูตัวอย่างด้านล่างได้เลยครับ
โดยปกติแล้ว เมื่อกดปุ่ม Shift เราจะสังเกตเห็นปุ่ม Shift เรืองแสงสีขาวขึ้นมา เมื่อพิมพ์ตัวอักษร เราจะพบตัวอักษร (ภาษาอังกฤษ) เป็นตัวพิมพ์ใหญ่ และปุ่ม Shift จะกลับไปเป็นลักษณะเดิม
แต่หากเรา กดปุ่ม Shift 2 ครั้ง ติดกัน เราจะพบว่าปุ่ม Shift กลายเป็นสีฟ้าเรืองแสง นั่นคือ ตอนนี้ปุ่มนี้กลายเป็นปุ่ม CAP Lock ไปแล้ว หลังจากนี้ เราสามารถพิมพ์ตัวอักษรพิมพ์ใหญ่ได้ทันทีโดยไม่ต้องกด Shift อีกต่อไป
ทดสอบพิมพ์ชื่อเว็บ IPHONE.COM จะได้ตัวพิมพ์ใหญ่โดยไม่ต้องกด Shift และเมื่อต้องการให้กลับสู่สภาวะปกติ ก็แค่เพียงกด Shift อีกครั้งก็เป็นอันเรียบร้อย
ปิดโปรแกรม "แก้คำผิด" อัตโนมัติ
- เข้าไปที่ Settings
- เลือกที่ General
- เลือกที่ Keyboard
- ดูที่หัวข้อ "Auto-Correction" ปิดมันซะ
เพียงเท่านี้อาการที่ iPhone แนะนำคำที่เราไม่ต้องการก็จะหมดไป
ไหนๆก็พูดถึงการตั้งค่าคีย์บอร์ดแล้ว iPhone HoHo จึงอยากขอแนะนำรายละเอียดของการตั้งค่าอื่นๆในหน้านี้ด้วย เผื่อจะเป็นแนวทางให้เพื่อนที่มีความสนใจ
Auto-Capitalization
เปลี่ยนเป็นตัวพิมพ์ใหญ่ให้อัตโนมัติสำหรับภาษาอังกฤษ เมื่อขึ้นต้นประโยคใหม่
Check Spelling
โหมดสำหรับตรวจสอบคำผิด อันนี้จะใช้ได้กับภาษาอังกฤษเหมือนพวกโปรแกรมใน Microsoft Word หรือ Microsoft Excel ซึ่งจะขีดเส้นใต้คำผิดและมีคำใกล้เคียงให้เลือก ถ้าไม่เลือกก็จะเป็นคำเดิมที่เราพิมพ์ไว้ (ดูรูปข้างล่างประกอบ)
Enable Caps Lock
กดปุ่ม Shift 2 ครั้งติด จะเหมือนปุ่ม Caps Lock ในคอมพิวเตอร์ ทำให้พิมพ์ตัวหนังสืออังกฤษตัวใหญ่หรือพิมพ์ภาษาไทยแถวบน
"." Shortcut
กด space bar 2 ครั้งจะเป็นการจบประโยคอัตโนมัติ ก็คือจะมีจุด "." ปิดท้ายประโยค
สอนทำ Ringtone สำหรับ iPhone ด้วยตนเอง
ในสมัยก่อ การทำริงโทนนั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย ไม่ว่าจะทำในคอมหรือทำในมือถือ เดี๋ยวเดียวก็ทำเสร็จ โหลดใส่มือถือก็เป็นอันจบ แต่เนื่องด้วย iPhone ที่เน้นการใช้งานให้ง่าย สะดวก (หรือป่าวหว่า) การที่จะติดตั้งริงโทนใหม่เป็นเรื่องค่อนข้างยาก อันจะใช้เสียงที่แถมมากับเครื่อง ก็ดูเหมือนว่า มีแต่เสียงที่ไม่บันเทิงโสตประสาทเท่าไหร่ หลายคนหาทางออกด้วยการโหลด Apps สำหรับตัดต่อริงโทนอัตโนมัติ แต่ก็ยังไม่วายพบปัญหาตลอด
2. ลองฟังเพลงและหาช่วงที่ต้องการจะตัดไปทำริงโทน สังเกตเวลาช่วงเพลงที่ต้องการ
3. กดคลิกขวาที่เพลงที่ต้องการ แล้วเลือกหัวข้อ Get Info เพื่อเข้าไปเลือกช่วงเวลาของริงโทน
4. เลือกที่แทบ Options และเลือกติ๊กถูกที่หัวข้อ Start time, Stop time พร้อมใส่เวลาที่ต้องการให้เริ่มเพลง และเวลาที่สิ้นสุดเพลง อย่างในตัวอย่างด้านล่าง ผมเลือกช่วงเพลงนาทีที่ 3:07 และให้จบในนาทีที่ 3:47
หมายเหตุ ริงโทนที่จะใช้สำหรับ iPhone จะต้องมีความยาวไม่เกิน 40 วินาที
ในบทความนี้ จะพามาพบกับนวัตกรรมชิ้นโบว์แดงของมนุษย์ชาติ นั่นก็คือ การใช้ iTune ในการตัดต่อริงโทนด้วยตนเอง ไม่ต้องไปง้อร้านค้า ไม่ต้องพึ่งพา Apps เพียงแค่มีคอมที่บ้านกับเพลงที่ชอบ เท่านี้ก็ทำได้แล้ว เรามาลองดูวิธีการกันเลย
1.เปิดโปรแกรม iTune ขึ้นมาและเตรียมเพลงที่ต้องการจะทำริงโทนให้พร้อม (ในตัวอย่าง ขอเลือกเพลงคนข้างๆ)
2. ลองฟังเพลงและหาช่วงที่ต้องการจะตัดไปทำริงโทน สังเกตเวลาช่วงเพลงที่ต้องการ
3. กดคลิกขวาที่เพลงที่ต้องการ แล้วเลือกหัวข้อ Get Info เพื่อเข้าไปเลือกช่วงเวลาของริงโทน
4. เลือกที่แทบ Options และเลือกติ๊กถูกที่หัวข้อ Start time, Stop time พร้อมใส่เวลาที่ต้องการให้เริ่มเพลง และเวลาที่สิ้นสุดเพลง อย่างในตัวอย่างด้านล่าง ผมเลือกช่วงเพลงนาทีที่ 3:07 และให้จบในนาทีที่ 3:47
หมายเหตุ ริงโทนที่จะใช้สำหรับ iPhone จะต้องมีความยาวไม่เกิน 40 วินาที
5. หลังจากที่กด OK แล้ว หน้าจอก็จะกลับมาสู่หน้าเดิม ให้เราคลิกขวาอีกครั้งที่เพลงเดิม แล้วเลือกหัวข้อ Create AAC version เพื่อเริ่มทำริงโทน
6. หลังจากกดแล้ว จะมีเพลงโผล่ขึ้นมาอีกไฟล์หนึ่งซึ่งเป็นไฟล์ตระกูล ACC (จะเป็นตระกูลหยาง หรือตระกูลอะไร อันที่จริงก็ไม่ต้องสนใจ) ให้คลิกขวาที่ไฟล์ที่เกิดขึ้นใหม่ แล้วเลือกหัวข้อ Show in windows Explorer เพื่อเปิดใหม่ด้วย Windows
7. เมื่อกดเสร็จ เราจะเห็นไฟล์ริงโทนในหน้าจอของ Windows
8. ให้เปลี่ยนนามสกุลไฟล์จาก .m4a เป็น m4r โดยการคลิกขวาที่ชื่อไฟล์แล้วเลือก Rename หลังจากนั้นก็พิมพ์เปลี่ยนชื่อเอาดื้อๆ
ในขณะที่เราจะเปลี่ยนนามสกุลไฟล์ Windows จะถามเราอีกครั้งว่าต้องการเปลี่ยนไฟล์จริงหรือไม่ ให้เราเลือก Yes ก็เป็นอันเสร็จขั้นตอนนี้
9. จากนั้นให้ดับเบิ้ลคลิกที่ไฟล์ที่แปลงนามสกุลเรียบร้อยแล้ว ไฟล์ริงโทนนั้นจะถูกเปิดด้วย iTune อัตโนมัติ
ในหัวข้อ Tone เราจะเห็นเพลงริงโทนที่เราเพิ่งทำเสร็จอยู่ในนั้นเรียบร้อยแล้ว
10. ต่อจากนั้นก็ทำการ Sync เข้ากับ iPhone เพื่อโหลดริงโทนเข้า iPhone
11. ตั้งค่าใน iPhone โดยเข้าที่หัวข้อ Settings>Sound>Ringtone
เราจะเห็นไฟล์ริงโทนโผล่ขึ้นมา ให้เราเลือกใช้ ก็เป็นอันเรียบร้อยแล้วครับ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)